วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การบอยคอตสินค้ากุฟฟารฺที่เป็นศัตรูกับอิสลาม 1

แปลโดย อนา

คำถาม
ศาสนาอนุญาตให้มีการติดต่อซื้อขายกับยิวหรือบริษัทที่มียิวเป็นเจ้าของหรือมีผู้ถือหุ้นเป็นยิวหรือเป็นบริษัทที่มีสาขาอยู่ในอิสราเอลหรือไม่?? ฉันเคยได้ยินมุสลิมบางคนกล่าวว่า ศาสนาอิสลามห้ามการติดต่อซื้อขายกับยิวในทุกกรณี เท่าที่ฉันเคยได้เรียนมาบ้างนั้นฉันเคยได้ยินมาว่า สมัยท่านนบีมุฮัมมัด-ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม-หรือแม้แต่ตอนที่ชาวมุสลิม อยู่ในภาวะสู้รบกับชาวยิวนั้น ท่านนบีก็มิได้ห้ามการติดต่อซื้อขายกับยิวแต่อย่างใด และตอนที่ท่านนบีเสียชีวิตโล่ของท่านที่ท่านเคยใช้ในการสงครามก็ยังติดจำนำ กับยิวคนหนึ่งในเมืองมาดีนะหฺ ข้าพเจ้าจึงขอคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย?


คำตอบ
ข้อ ที่หนึ่ง ในกรณีทั่วไปนั้นการติดต่อซื้อขายกับยิวนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอณุญาตให้ กระทำได้ โดยอ้างหลักฐานจากการที่ท่านนบีและศอฮาบะหฺได้ติดต่อซื้อขายกับชาวยิวใน เมืองมาดีนะหฺทั้งการกู้เงิน การจำนำและอื่นๆที่เป็นการสิ่งฮาลาลในศาสนา แต่ชาวยิวเหล่านั้นเป็นชาวยิวที่ได้มีพันธะสัญญาได้รับการคุ้มครองจากมุสลิม หรือที่เรียกว่า อะฮฺลุล อฺะฮดุ” (أهل العهد) หรือชาวสัญญา ซึ่งหากคนใดในหมู่พวกเขาละเมิดสัญญา ก็จะถูกประหารชีวิตหรือเนรเทศ(หรืออาจถูกปล่อยตัวโดยเหตุผลอื่นทางศาสนา) กระนั้นก็ตามยังมีการระบุถึงหลักฐานที่อนุญาตให้ทำการติดต่อซื้อขายกับกาฟิร ถึงแม้จะเป็นชาวสงครามก็ตาม อิหม่ามบุคอรีได้กำหนดหัวข้อหนึ่งในหนังสือของท่านว่า การซื้อขายกับมุชริกีนและชาวสงคราม” (باب الشراء والبيع مع المشركين وأهل الحرب) ซึ่งท่านได้บันทึกจากรายงานของท่านอับดุลรอฮมานบินอาบีบักรฺ-รอฎิยัลลอฮุอัน ฮุมา-ได้กล่าวว่า ครั้งหนึ่งพวกเราอยู่กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มีชายมุชริกีนคนหนึ่งเข้ามาหาพร้อมกับแกะตัวหนึ่ง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จึงได้ถามว่า เป็นของขายหรือของที่จะให้เปล่า(โดยไม่คิดราคาชายคนนั้นตอบว่า เป็นของขายท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้ซื้อแกะจากชายคนนั้นบันทึกโดยบุคอรี หะดีษที่ 2216
  
อิหม่ามนะวาวี-รอฮิมาฮุลลอฮฺ-ได้กล่าวว่า บรรดา(อุละมาอฺ)มุสลิมีนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในเรื่องการอนุญาตให้ติดต่อ ค้าขายกับผู้ที่มีสัญญาได้รับการคุ้มครองจากชาวมุสลิม (أهل الذمة) หรือคนกาฟิรอื่นๆ ในทุกๆสิ่งที่เป็นฮาลาล แต่ไม่เป็นที่อนุญาตให้มุสลิมขายอาวุธหรือสิ่งที่ใช้ในการสงคราม ให้กับกาฟิรที่เป็นชาวสงคราม (أهل الحرب) หรือสิ่งที่สนับสนุนศาสนาของพวกเขา

ท่านอิบนุบัฎฎอลได้กล่าวว่า การติดต่อค้าขายกับคนกาฟิรนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยกเว้นในสิ่งที่คนกาฟิรนำไปใช้ในการต่อสู้กับชาวมุสลิม
  
มีบันทึกในหนังสืออัลมัจมูอฺว่า เป็นที่เอกฉันท์ว่าไม่อนุญาตให้ขายอาวุธต่อกาฟิรที่เป็นชาวสงคราม(أهل الحرب)ซึ่งความลับหรือเหตุผลในเรื่องดังกล่าวนั้นชัดเจน กล่าวคืออาวุธที่ขายจะนำไปใช้ในการเข่นฆ่าชาวมุสลิม

ข้อ ที่สอง เป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่าศาสนาสนับสนุนการทำญิฮาด การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺต่อศัตรูของอิสลามซึ่งได้แก่ชาวยิวหรือกาฟิร อื่นๆด้วยชีวิตหรือทรัพย์สินและทุกสิ่งที่สามารถทำลายเศรฐกิจของพวกเขาให้ อ่อนแอได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุนทรัพย์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำสงครามไม่ว่าใน อดีตหรือปัจจุบัน ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่มุสลิมทั้งหลายต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันใน เรื่องการทำดี เรื่องการตักวาและการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺทุกสถานที่ทุกโอกาสในอันที่จะ ทำให้พี่น้องมุสลิมมีความมั่นคงในศาสนา ชีวิตและทรัพย์สิน ให้ประสบชัยชนะและสามารถปฎิบัติศาสนบัญญัติต่างๆได้โดยไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง นอกจากนี้มุสลิมยังจำเป็นต้องช่วยเหลือพี่น้องของเขาในทุกๆทางที่ทำได้เพื่อ สนับสนุนพี่น้องของเขาในการต่อสู้กับเหล่ากาฟิรไม่ว่าชาวยิวหรือชาวคริสต์ อื่นๆ ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงญิฮาด(ต่อสู้)บรรดามุชริกีนด้วยทรัพย์สินของพวกเจ้า ด้วยชีวิตของพวกเจ้าและด้วยลิ้นของพวกเจ้าบันทึกโดยอะบุ ดาวูด เชคอัลบานีย์ได้บอกว่าฮาดีสนี้เป็นฮาดีสศอเฮียะฮฺ
  
ฉะนั้น แล้ว มุสลิมต้องช่วยเหลือบรรดามุญาฮิดีนในทุกๆสิ่ง ทุกๆโอกาส ที่สามารถทำได้ และพยายามทุกวิถีทางที่จะนำความมั่นคงแข็งแรงมาสู่ศาสนาและประชาชาติ ในขณะเดียวกันก็กระทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ศัตรูอิสลามนั้นอ่อนแอ เช่นไม่สนับสนุนด้านการเงินต่อพวกเขาโดยจ้างพวกเขาทำงาน เป็นพนักงาน เป็นนักบัญชี เป็นวิศวกรหรืออื่นๆที่เป็นการสนับสนุนให้พวกเขามีรายได้ใช้ในการต่อสู้ ทำลายอิสลาม
  
ดังนั้นผลสรุปคือ
ผู้ใดก็ตามที่บอยคอตสินค้าคนกาฟิรที่กำลังต่อต้านอิสลามและกำลังเข่นฆ่าทำลายล้างประชาชาติมุสลิมโดยที่ต้องการแสดงออกถึงการไม่สนับสนุนพวกเขา ต้องการทำให้เศษฐกิจของพวกเขาอ่อนแอเพื่อไม่ให้มาสร้างความอธรรมต่อชาว มุสลิมแล้ว แน่นอนเขาย่อมได้รับผลบุญและการตอบแทนที่ดีฮฺต่อการเนียตครั้งนี้อินชาอัล ลอฮฺและผู้ใดที่ติดต่อค้าขายกับพวกเขาโดยยึดหลักการเดิมของอิสลามที่ว่าด้วย การอนุญาตให้ติดต่อค้าขายกับบรรดกาฟิรทั้งหลาย-โดยเฉพาะในสิ่งที่เขามีความ จำเป็นต้องใช้- ก็เป็นสิ่งที่ทำได้เช่นกัน อินชาอัลลอฮฺและไม่ถือเป็นการบกพร่องในเรื่องจุดยืนเรื่องวาลาอฺและบารออฺ (الولاء والبراء) ในอิสลามแต่อย่างใด

เหตุการณ์นี้ได้ถูก ถามต่อคณะอุละมาอฺฟัตวา(اللجنة الدائمة) ของซาอุดิอารเบียว่า อะไรคือฮุก่มของการละทิ้งการติดต่อค้าขายกับมุสลิมแต่กลับไปค้าขายกับคนกาฟิรอย่างนี้หรือเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่”?
  
คำตอบ ตามหลักแล้วการที่มุสลิมซื้อขายในสิ่งที่ฮาลาลกับคนมุสลิมหรือกาฟิรนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติให้กระทำได้ ซึ่งท่านนบีได้ซื้อจากชาวยิว แต่การที่มุสลิมหลีกเลี่ยงการติดต่อซื้อขายกับมุสลิมโดยปราศจากเหตุผลเช่น การโกง หรือการเพิ่มราคาสินค้าอย่างไม่ยุติธรรม สินค้าไม่มีคุณภาพ หรือเป็นเพราะชอบที่จะซื้อขายกับกาฟิรโดยไม่มีสาเหตุอื่นนั้นถือเป็นสิ่งที่ ต้องห้าม(ฮารอม)เนื่องจากเป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนกาฟิร พอใจในการกระทำของกาฟิรและเปรียบเสมือนการจงรักภักดีต่อกาฟิร (อันเป็นการขัดกับหลักการพื้นฐานของอิสลามที่ว่าด้วยเรื่อง อัลวะลาอฺวัลบารออฺ) (الولاء والبراء) (นอกเหนือจากการกระทำดังกล่าวจะทำให้สินค้าไม่สามารถขายได้ ซึ่งทำให้พ่อค้ามุสลิมประสบการขาดทุน) แต่ในกรณีที่มีเหตุผลสมควรในการไม่ติดต่อค้าขายกับมุสลิมด้วยกัน เช่น การโกง สินค้าไม่มีคุณภาพ สินค้าแพงเกินจริง เช่นนี้แล้วจำเป็นที่เราต้องแนะนำตักเตือนและนาศีฮัตเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่า นั้น หากการตักเตือนนี้ได้ผลแล้วเราก็ควรซื้อขายกับมุสลิมด้วยกัน หากไม่ได้ผล ก็อนุญาตให้ติดต่อซื้อขายกับผู้อื่นหรือกาฟิรที่มีความยุติธรรมและซื่อสัตย์ ได้ (فتاوى اللجنة الدائمة 13/18)
والله أعلم

คำถามที่ 20732 Islam Q&A / เชคมุฮัมมัด ศอและหฺ อัลมุนัจญิด
http://www.islamqa.com/index.php?ref=20732&ln=ara

ที่มา : http://www.mureed.com/article/BoyCott%5EGuffarl/BoyCott%5EGuffarl.htm